พระปิดตา ยันต์ยุ่ง เนื้อเมฆพัตร หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ จ.อุดรธานี ปี ๒๕๑๗
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เดิมชื่ออ่อน กาญวิบูลย์ เกิดวันอังคารขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีขาล พ.ศ. 2445 (ตามพ่อแม่ของท่านบอก) หรือเกิดวันอังคาร ขึ้น 5 ค่ำหรือ 12 ค่ำ (ตามปฏิทิน 100 ปี) ณ บ้านดอนเงิน ตำบลแซแล อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของ นายภูมีใหญ่และนางบุญมา กาญวิบูลย์ ซึ่งมีลูกทั้งหมด 20 คน เลี้ยงจนเจริญเติบโตเพียง 10 คน ท่านเป็นคนที่ 8 ของผู้ที่ยังมีชีวิตรอดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ท่านได้รู้จักทำงานช่วยเหลือพ่อแม่มาตั้งแต่อายุได้ 14 ปี พ่อภูมีใหญ่ได้บวชเป็นพระอยู่นานถึง 14 ปี ก่อนได้ลาสิกขาบทมาแต่งงาน ถึงขณะนี้อายุท่านจึงมากแล้ว ได้ทำหน้าที่ปกครองช่วยเจ้าฝ่ายศักดิ์ขวา ซึ่งเป็นปู่นั่นเอง อัญญาลุงเจ้าเมืองร้อยเอ็ดจึงได้ตั้งชื่อให้ว่าเมืองกลาง (ชื่อใหม่ของภูมีใหญ่) เป็นนักปราชญ์ จำพระปาติโมกข์วิชาคาถาอาคม เสียเคราะห์เสียเข็ญได้อย่างดี ทั้งกลางเมืองและนางบุญมา ต่างเป็นคนมีศีลธรรมประพฤติปฏิบัติ จดจำคำสอนจากพุทธศาสนามาสอน บุตรธิดา และหลานให้เข้าใจบุญบาปได้เป็นอันดี
หลวงปู่อ่อนท่านเกิดในท่ามกลางสภาพของธรรมชาติป่าดงอันอุดมสมบรูณ์ มีความอบอุ่นอยู่กับพ่อแม่ซึ่งมีฐานะไม่จนแต่ก็ไม่รวย จึงมีความเป็นอยู่พอมีความสุขตามสมควรจากอาชีพทำนาเลี้ยงโคฝูง ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ค้าขายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ อาชีพทำนาอาศัยฟ้าฝน ถ้าปีไหนฟ้าฝนดี ข้าวไม่เกิดโรคก็จะได้ผลผลิตเกิน 1,000 ถัง จากที่นา 8 ทุ่ง (แปลง) เป็นการผลิตเพื่อบริโภคกันทุกครัวเรือน มีวัวฝูงกว่า 200 ตัว กลางวันต้อนออกคอกปล่อยไปหากินเอง ตอนเย็นกลับเข้าคอกเอง ถ้าวัวไม่เข้าคอกเกิน 4-5 วัน จึงออกตามไล่ต้อนเข้าคอกสักทีหนึ่ง ถ้าวัวหายไปตามหาก็ลำบาก ป่าดงมันรกเสือและงูร้ายชุกชุม
หลวงปู่ได้เล่าถึงประวัติตนเองเมื่อครั้งช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความทุกข์ใหญ่ ว่าครั้งหนึ่งเดือนเมษายน วัวไม่กลับเข้าคอกจึงออกติดตาม ไม่ได้เตรียมน้ำดื่มไปด้วยกว่าจะเห็นฝูงวัวก็บ่าย 2 โมงเข้าไปแล้ว ตอไม้ตอหญ้าแพรกที่ไฟไหม้ก็แข็งเดินเท้าเปล่าไม่มีรองเท้าตอไม้ทิ่ม หิวน้ำก็หิว ก่อนเข้าหมู่บ้านหัวเข่าอ่อนล้มฮวบลงลุกขึ้นหาไม้เท้า ใช้สองมือยันไปจึงถึงบ้านได้ ครั้นถึงบ้านด้วยความกระหายน้ำอย่างมาก จึงรีบดื่มน้ำไป 12 กระบวยใหญ่ จุกน้ำเกือบตาย นี่คือทุกข์ใหญ่เพราะเลี้ยงวัวฝูงในครั้งนั้นท่านบอกว่ามีทุกข์อยู่หลายอย่าง เช่น ทุกข์เฮ็ดนา ทุกข์เลี้ยงหม่อน ทุกข์เลี้ยงวัวฝูง ทุกข์ฝึกแอบวัวใส่เกวียน แอบเป็นแล้วจึงขายได้
สมัยที่หลวงปู่อ่อนอายุ 11 ปี พ่อแม่ของท่านได้นำลูกชายคนนี้ ไปฝากให้อยู่วัดใกล้บ้านซึ่งสมภารมีความรู้ทางด้านภาษาลาว ภาษาขอม และภาษาไทย เป็นอย่างดี โดยหวังให้ลูกชายได้รับการศึกษา มีอนาคตสามารถเลี้ยงพึ่งพาตนเองได้ พออายุได้ 16 ปี พ่อของท่านได้อบรมว่าการบวชนี้เป็นบุญมาก ในที่สุดท่านก็ใคร่จะบวชจึงบอกเล่าและลาพ่อแม่ว่า ต้องการบวชเมื่อได้บวชแล้วจะไม่สึก พ่อแม่จึงนำท่านไปฝากให้เป็นศิษย์วัดกับท่านพระครูพิทักษ์คณานุการ วัดจอมศรี บ้านเมืองเก่า อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ต่อมาท่านก็ได้บรรพชา ให้เป็นสามเณรอ่อน ให้ศึกษาเล่าเรียนสวดมนต์ไหว้พระ การบวชเป็นสามเณรนี้ก็เพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนให้มีความรู้มากขึ้น สามเณรอ่อนได้ศึกษาพระธรรมวินัยพอเป็นนิสัยเข้าใจถึงชีวิตสมณเพศเท่านั้น
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
เด็กชายอ่อนได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 17 ปี (พ.ศ. 2462) สามเณรอ่อนได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัย เมื่อเลิกจากเวลาเรียนแล้ว ก็ต้องเข้าไปรับใช้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ ปัดกวาด ทำความสะอาด ล้างกระโถน รุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาต ท่านมีฝีมือด้านการช่าง ได้ร่วมกับพระอาจารย์นำดินมาสร้างพระพุทธรูป แกะสลักไม้ทำบานประตูหน้าต่างที่สวยงามมาก ท่านมีมานะอดทน ขยัน หมั่นเพียร ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดจอมศรีกับท่านพระครูพิทักษ์คณานุการผู้เป็นอุปัชฌาย์ 3 ปี ท่านมีอายุ 19 ปี จึงเข้าอำลาอาจารย์ ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ท่านอุปัชฌาย์หาว่าอวดดีจึงขับออกจาก วัดจอมศรีไปพักอยู่ที่วัดดอนเงินไปลาโยมพ่อโยมแม่ แต่ไม่ได้รับอนุญาตอ้างว่าคิดถึง
เมื่อสามเณรอ่อนอายุครบ 20 ปี ในปี 2464 ได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุในคณะมหานิกาย ที่วัดบ้านปะโค ตำบลปะโค อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระครูจันทา (เจ้าอธิการ จันทา) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านดอนเงิน 1 พรรษา
ในปี 2465 ได้ขอลาโยมพ่อโยมแม่ออกธุดงค์กรรมฐานไปอยู่กับพระอาจารย์สุวรรณ วัดป่าอรัญญิกาวาส อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ตามความตั้งใจของท่านมาแต่เดิม คือ
1. ยึดมั่นต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการบริกรรมว่า พุทโธ
2. ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร
3. บิณฑบาตเป็นวัตร
4. ไม่รับอาหารที่ตามมาส่งภายหลัง รับเฉพาะที่ได้มาในบาตร
5. ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร
6. ฉันในบาตร คือมีภาชนะใบเดียวเป็นวัตร
7. อยู่ในป่าเป็นวัตร คือเที่ยวอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในป่าธรรมดาบ้าง บนภูเขาบ้าง ในหุบเขาบ้าง ในถ้ำบ้าง ในเงื้อมผาบ้าง
8. ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมีผ้า 3 ผืน ได้แก่ ผ้าสังฆาฏิ ผ้าจีวร ผ้าสบง (รวมผ้าอาบน้ำฝนด้วย)
ในปี 2466 ได้ออกธุดงค์แสวงหาความสงบวิเวกปฏิบัติธรรม ได้ไปฝึกหัดเรียนพระกรรมฐานอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ยอมมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์ อยู่ที่วัดป่าบ้านค้อ อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี และได้ขอให้สวดญัตติแปรจากมหานิกายมาเป็นธรรมยุต พระอาจารย์ยังไม่ยินยอมให้ฝึกภาวนาไปอีก 1 ปี แล้วได้ขอให้ญัตติเป็นธรรมยุตอีก ท่านยินยอม แต่ต้องให้ท่องหนังสือนวโกวาทและพระปาติโมกข์ให้จบเสียก่อน หลวงปู่อ่อนจึงตั้งใจท่องนวโกวาท 4 วันจบ ท่องปาติโมกข์ 7 วันจบ จึงได้รับทำการญัตติเป็นธรรมยุต เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2467 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 อายุได้ 23 ปี โดยมีพระครูชิโนวาทธำรง (พระมหาจูม พนธุโล : พระธรรมเจดีย์ในเวลาต่อมา) รักษาการตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอุดร เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระครูอดิสัยคุณาธาร (คำ อรโก) เจ้าคณะจังหวัดเลย วัดศรีสะอาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วกลับไปจำพรรษา ที่วัดป่าอรัญญิกาวาส อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
ในปี 2468 หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้ไปจำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ในปีนี้หลวงพ่อคำมี ผู้เป็นพี่ชายของหลวงปู่อ่อน บวชสังกัดมหานิกายมาขออยู่ปฏิบัติธรรมฝึกหัดภาวนากับท่านด้วย แต่ได้เกิดไข้ป่าอย่างแรง มรณภาพเมื่อเดือน 8 แรม 8 ค่ำ
ในปี 2469 ได้ธุดงค์ไปจำพรรษากับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ที่เสนาสนะป่า ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ปี
2470 จำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหัวงัว ตำบลไผ่ช้าง อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี
ปีถัดมา (2471-2472) ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านสาวะถี ตำบลสาวะถี อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น (สมัยนั้น)
ถัดมาอีกปี 2473 ธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านพระคือ อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ในปี 2474 หลวงปู่อ่อนได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม บ้านเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
และในปี 2475 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ขณะดำรงตำแหน่งพระเทพเมธี เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา มีบัญชาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2475 ให้พระกรรมฐานที่มีอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ไปร่วมอบรมประชาชนร่วมกับทางราชการที่จังหวัดนครราชสีมา มีพระกรรมฐานไปชุมนุมกันจำนวนมาก เช่น พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
ณ ปีนี้เอง พ.ต.ต. หลวงชาญนิยมเขต ได้ยกที่ดิน 80 ไร่ ถวายพระกรรมฐานที่มาชุมนุมเพื่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรมอบรมศีลธรรมตั้งชื่อให้สถานที่แห่งนี้ว่า วัดป่าสาลวัน ในครั้งนี้คณะพระกรรมฐาน ได้แยกย้ายกันออกอบรมศีลธรรมและสร้างวัดอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ได้ไปสร้างวัดป่าบ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว ชื่อวัดสว่างอารมณ์ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริได้อยู่ปฏิบัติศาสนกิจ อยู่ที่วัดป่าสาลวันเป็นเวลา 12 ปี เท่ากับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
เมื่อปี 2488 พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ได้ออกจากวัดป่าสาลวันไปนมัสการ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดบ้านหนองผือ ได้สร้างวัดที่บ้านหนองโคก อำเภอพรรณานิคม ให้เป็นคู่กับวัดป่าบ้านหนองผือ ทางที่จะไปนมัสการพระอาจารย์มั่น เพื่อให้ถูกกับอัธยาศัย ของพระอาจารย์มั่น ด้วยว่าให้พระผู้ให้ฝ่ายวิปัสสนาธุระสร้างวัดขึ้น ในรัศมีของวัดป่าบ้านหนองผือ จะได้ฝึกหัดพระที่มาศึกษาภาวนา เป็นการแบ่งเบาภาระของท่านเมื่อพระอาจารย์อ่อนได้สร้างวัดนี้แล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาหลายปีและได้เดินทางไปนมัสการพระอาจารย์มั่น เป็นประจำเพราะท่านอายุมาก
ในปี 2492 พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาพาธหนัก ได้รับการนำไปรักษาที่วัดสุทธาวาส สกลนคร และมรณภาพที่นี่
ในปี 2493 เมื่อพิธีถวายเพลิงศพพระอาจารย์มั่นผ่านไปแล้ว พระอาจารย์อ่อน ได้เที่ยวธุดงค์ไปถึงเขาย้อยจังหวัดเพชรบุรี อยู่จำพรรษา 1 พรรษาแล้วกลับมาช่วยพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม สร้างกุฏิและหล่อพระประธานที่วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา ต่อมาพระอาจารย์สิงห์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระญาณวิศิษฏ์วิริยาจารย์ มาอีกหลายปีท่านมรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงได้ขอแต่งตั้งให้ อาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวันแทนท่านเจ้าคุณอยู่ประมาณ 1 ปี จึงลาออก เพราะเห็นว่าขัดต่อการออกรุกขมูลวิเวก
ในปี 2496 ท่านได้มาสร้างวัดป่าบ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ตามคำบัญชาของท่านเจ้าคุณ พระธรรมเจดีย์ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ สิ้นเงินหลายล้านบาท
ครั้งปี 2518 หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เริ่มอาพาธด้วยโรคกระเพาะอาหาร ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดหลายครั้ง อาการพอทรงตัวอยู่ได้ ร่างกายทรุดโทรม แต่ท่านก็ยังปฏิบัติกิจด้วยความอุตสาหะ สงเคราะห์พุทธบริษัท ปฏิบัติธรรมตลอดมิได้เว้น วันที่ 23 พฤษภาคม 2524 อาการอาพาธทรุดหนัก จึงได้นำเข้ารักษาที่โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม อุดรธานี (24 พ.ค.) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ (25 พ.ค.) โรงพยาบาลรามาธิบดี (26 พ.ค.) อาการไม่ดีขึ้น ครั้นวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 คืนวันพุธ เวลา 04.00 น. ท่านก็ได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ท่ามกลางนายแพทย์และคณะศิษย์ที่ติดตาม สิริรวมอายุได้ 80 ปี เป็นสามเณร 3 พรรษา เป็นพระ 58 พรรษา
((((เนื้อเมฆพัดองค์นี้สภาพสวยสมบูรณ์ ไม่บิ่น ไม่กระเทาะครับ)))
...น่าเก็บสะสมเนื้อเมฆพัดครับ ท่า่นเป็นพระสายกัมมัฏฐานเป็นที่เคารพของชาวอุดร และใกล้เคียงครับ.....