@@@ ถูกกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว @@@ เหรียญสังฆาฏิใหญ่ ท่านเจ้าคุณนรฯ เนื้อทองเเดงรมดำ พิมพ์ ต.หางยา ปี 2513 วัดเทพศิรินทร์ กทม.

ปิด สร้างโดย: พันธุ์ทิพย์  VIP   (3261)

ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ ธัมวิตักโก วัดเทพศรินทร์


ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
ชีวิตเมื่อวัยเด็กจนกระทั่งรับราชการ
                        ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรีกรุงรัตนโกสินทร์ของไทยสยาม ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งของราชวงศ์จักรีที่มีบุญญาธิการแก่กล้า จนประชาชนชาวไทย ทั่วประเทศยกย่องพระองค์ท่านว่า "องค์พระปิยะมหาราช" ทรงเลิกทาสให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่ร่มเย็นเป็นสุขมาตราบเท่าทุกวันนี้ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันมาฆะบูชา บุตรชายคนหัวปีของพระคุณนรนาฏภักดีนายอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้คลอดมาจากครรภ์มารดาลืมตามองดูโลกอันโสภี ยังความโสมนัสให้แก่ผู้เป็นบิดามารดา และประดาญาติเป็นอย่างยิ่งท่านนายอำเภอบางปลาม้าได้ตั้งชื่อบุตรชายคนหัวปีของท่านว่า "ตรึก"เมื่อทารกผู้ได้นามว่า "ตรึก" นี้เจริญวัยขึ้น ในฐานะเด็กน้อยเรือนร่างแบบบางผิวพรรณละเอียดอ่อนเปล่งปลั่งเป็นน้ำเป็นนวล อันเป็นลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูง เมื่อวัยถึงขั้นสมควรเล่าเรียนหนังสือก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในพระนคร ต่อมาจึงเข้าเรียน ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนี้จนสอบได้ชั้นสูงสุดนาย "ตรึก" มีความปรารถนาที่จะเรียนเป็นนายแพทย์ต่อไป เพื่ออนาคตข้างหน้าจะได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ทางเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ท่านบิดาซึ่งเป็นนายอำเภอนักปกครองต้องการให้บุตรชายเป็นนักปกครองเจริญรอยตามบิดา นาย "ตรึก" เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายและมีจิตใจสูงด้วยความเคารพต่อผู้มีอุปการคุณ จึงต้องทำตามความประสงค์ของบิดา นายตรึกจึงเข้าศึกษาต่อวิชารัฐศาสตร์ที่โรงเรียนกฏหมาย ซึ่งสมัยนี้ยังรวมอยู่กับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นายตรึกเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถเรียกสำเร็จรัฐศาสตร์เป็นรุ่นแรก ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับท่านเจ้าคุณสุนทรพิพิธ เมื่อนายตรึกได้เรียกสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วก็หาได้ไปเป็นนายอำเภอและเจ้าเมืองสังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามเจตนารมณ์ของท่านบิดา เพราะในระหว่างศึกษาวิชารัฐศาสตร์อยู่นั้น เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้มีงานเลี้ยงเป็นพิธีในพระบรมมหาราชวัง เป็นงานใหญ่ที่จำนวนมหาดเล็กเด็กชายมีไม่พอ สำหรับตำแหน่งพนักงานเดินโต๊ะและรับใช้อื่นๆ นักเรียนรัฐศาสตร์ที่มีหน้าตาและหน่วยก้านดีจึงถูกเกณฑ์ไปช่วยในหน้าที่ดังกล่าว นักเรียนรัฐศาสตร์ที่ถูกเกณฑ์ไปในครั้งนี้ก็ได้มีนายตรึกรวมอยู่ด้วยผู้หนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณและหน่วยก้านของหนุ่มน้อยตรึกเข้าก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วทรงไต่ถามถึงเหล่ากองพงศ์พันธุ์เมื่อพระองค์ทราบจะแจ้งดีแล้วก็ดำรัสว่า"เมื่อเรียนจบแล้วมาอยู่กับข้า"
โดยเหตุนี้เองเมื่อหนุ่มตรึกเรียนสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วแทนที่จะได้เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยตามวิชาที่เรียนสำเร็จ และเป็นไป ความประสงค์ของบิดาผู้เป็นนักปกครอง กับไพล่ไปเป็นข้าราชสำนักสังกัดกระทรวงวัง ในตำแหน่งหน้าที่มหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก และพระราชทานนามสกุลให้ว่า "จินตยานนท์"หนุ่มตรึกรับราชการอยู่ใต้เบื้องยุคบาทเพียงไม่ทันถึงปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงศักดิ์นายเวร" ต่อมาไม่ช้ามินานก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าหมื่นศรีสรรเพชร"พออายุ ๒๕ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น พระยาพานทอง ราชทินนามว่า "นรรัตนราชมานิต" ซึ่งเป็นพระยาหนุ่มที่สุดในสมัยนั้นพร้อมกับที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาพานทองให้นี้ได้พระราชทานที่ดิน เพื่อให้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแทนเช่าอยู่ ที่ดินที่พระราชทานให้นั้นมีจำนวนถึง ๔ ไร่ อยู่ตรงเชิงสะพานราชเทวี ตรงที่มีซอยชื่อ "ซอยนรรัตน" ปัจจุบันนี้ในการพระราชทานที่ดินให้นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานให้พร้อมกันถึง ๔ คน อีก ๓ คนคือท่านเจ้าพระยารามราฆพ พระยาอนิรุธเทวา และอีกท่านหนึ่งข้าพเจ้าต้องขออภัยที่ค้นคว้าหาชื่อไม่ได้ พระยานรรัตนราชมานิต ได้รับตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐานและเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กห้องพระบรรทมคนอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลายคนด้วยกันขณะที่รับราชการอยู่ใต้ เบื้องยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระยานรรัตน์ราชมานิต ก็มิได้ปล่อยเวลาว่างจากรับหน้าที่ราชการค้นคว้าศึกษาวิชาต่างๆ อยู่เสมอ เช่นวิชาลักธิโยคี ทางดูลายมือและรูปร่างลักษณะบุคคล สั่งตำราจากอังกฤษ, อเมริกา มาค้นคว้าจนมีความชำนิชำนาญทางด้านดูลายมือและรูปลักษณะบุคคลและศึกษาภาษาฝรั่งเศส จากมองซิเออ.เอ.เค. จนกระทั่งแตกฉาน สามารถแปลตำราภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง ส่วนทางด้านภาษาอังกฤษนั้น พระยานรรัตนท่านมีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ จึงทรงโปรดปรานมาก และทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระเรียกสถาปนิกฝีมือเยี่ยมจากอิตาเลียนผู้หนึ่งมาออกแบบ เพื่อทรงสร้างที่อยู่ให้แก่พระยานรรัตนซึ่งปล่อยที่ดินที่พระราชทานให้รกร้างหญ้าพงขึ้นเต็มที่ดิน มิเหมือนกับพระยาคนอื่นๆ พอได้รับพระราชทานที่ดินก็เริ่มก่อสร้างที่พักเสียจนหรูเพื่อประดับเกียรติ อย่างเช่นท่านพระยารามราฆพก็ได้สร้างคฤหาส์นอันโอ่อ่าด้วยหินอ่อนอิตาเลียน แล้วตั้งชื่อคฤหาส์นหลังนั้นว่า "บ้านนรสิงห์" (ปัจจุบันเป็นทำเนียบของรัฐบาล) พระยาอนิรุธเทวาก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอฬารเหมือนกัน แล้วตั้งชื่อว่า "บ้านบรรทมสินธุ์" (ปัจจุบันเป็นบ้านสำหรับรองรับแขกเมืองของรัฐบาล) อีกท่านหนึ่งก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าอีกหลังหนึ่งและให้ชื่อว่า "บ้านมนังคศิลา" มีแต่พระยานรรัตน์ฯ ผู้เดียวเท่านั้นที่มิได้ยินดียินร้ายต่อที่ดินที่พระองค์ท่านพระราชทานให้เลย พระองค์ท่านจึงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระ แต่พระยานรรัตนนฯ กลับปฏิเสธในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ โดยสิ้นเชิง ถึงแม้แต่พระองค์จะทรงกริ้วก็สุดแล้วแต่พระกรุณา จึงได้กราบบังคมทูลขอให้ยับยั้งพระราชประสงค์ หากทรงสร้างคฤหาสน์ขึ้นบนที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แม้จะเอาตัวท่านไปประหารชีวิต ท่านก็จะทูลเกล้าฯ ถวายคืนทั้งคฤหาสน์และที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ล้นเกล้าฯ จึงต้องตามใจพระยานรรัตนฯพระยานรรัตนราชมานิตได้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ด้วยความจงรักภักดีเรื่อยมาจนกระทั่งล้นเกล้าฯ เสด็จสวรรคตลงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ก็ขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อมา ก็มีพระราชประสงค์อยากจะได้ตัวพระยานรรัตนมานิตไว้ในราชการ จึงรับสั่งให้เจ้าคุณไพชยนเทพ (ทองเจือ ทองใหญ่) ไปติดต่อเพื่อขอชุบเลี้ยงเยี่ยงรัชกาลที่ ๖ แต่พระยานรรัตนราชมานิตผู้ยึดมั่นในคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย" นั้นไม่ดีแน่ จึงได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ไปว่า" ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงชุบเลี้ยงอย่างใดก็เท่ากับเอาทองคำไปลงยาฝังเพชรเท่านั้น"ถึงแม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ จะทรงให้ใครมาติดต่อกับพระยานรรัตนฯ หลายครั้งหลายหน แต่พระยานรรัตนก็มิได้ตอบตกลงสักครั้งเดียว จนกระทั่งถึงวันถวายพระเพลิงพระมหาธีรราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยาท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงได้สละทรัพย์สมบัติมอบที่ดิน ๔ ไร่ และทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแก่วัดเทพศิริทราวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระยานรรัตนฯ อุปสมบทแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ผู้ทรงชุบเลี้ยงตนมาเป็นอย่างดีซึ่งยากจะหาบุคคลเยี่ยงพระยานรรัตนราชมานิตนี้อีกไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบันนี้ส่วนในด้านความรักนั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้ผิดแปลกแตกต่างไปกว่าหนุ่มรุ่นเดียวกันไม่ พระยานรรัตนราชมานิตก็ได้มีสาวคนรักไว้ปลุกปลอบใจด้วยเหมือนกัน และก็ได้ทำพิธิหมั้นากันเรียบร้อยแล้วเสียด้วย แต่เนื่องด้วยพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ นั้นมากล้นเหลือคณา พระยานรรัตนราชมานิตสละได้เช่นกันสาวคู่หมั้นของพระยานรรัตนราชมานิตผู้มีนามว่า ชุบ เมนะเศวต ปัจจุบันรับอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติอยู่ที่โรงเรียนราษฎร์แถวสามย่าน พระนคร นี้เองและก็ได้มาฟังสวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตอยู่เสมอ ซึ่งยังคงครอบเพศพรหมจรรย์ตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เพราะเธอได้ยึดมั่นในอุดมคติที่ว่า "รักเดียวใจเดียว" ซึ่งก็ยากจะหาหญิงใดมาเปรียบเทียบเสมอได้เช่นกันส่วนในด้านการปฏิบัติงานของพระยานรรัตนราชมานิต ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าจากพระภิกษุ กมฺพโล วัย ๗๘ แห่งวัดมหาชยราม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ผู้ได้เคยรับราชการใต้เบื้องยุคลบาทของมหาธีราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ พร้อมกับพระยานรรัตนราชมานิตมาแล้วได้บอกกับข้าพเจ้าว่า พระยานรรัตน-ราชมานิตเป็นผู้ที่เคร่งครัดต่อหน้าที่การงานยากที่ใครเสมอเหมือนได้ และเป็นผู้ทีค่ทำอะไรทำจริงไม่ถือตัว และแบ่งชั้นวรรณะแม้แต่เครื่องแต่งกายก็สวมใส่อย่างธรรมดาคือ เสื้อขาว กางเกงขาว มักจะชอบเดินไปไหนมาไหนเสมอ พระยานรรัตนราชมานิตให้ข้อคิดในการเดินว่า นั่นคือการออกเอ๊กเซอไซด์ไปในตัว บางครั้งพระยานรรัตนฯก็จะนั่งรถลาก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "รถเจ๊ก" สมัยนั่นคนจีนมีอาชีพรับจ้างลากรถเป็นส่วนมาก และถ้าวันไหนเกิดอารมณ์ดีนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ขณะที่พระยานรรัตนฯ นั่งอยู่บนรถลากมองเห็นคนจีนลากรถเหนื่อยหอบท่านเจ้าคุณก็จะลงมาสับเปลี่ยนกับคนจีนลากรถแทนคนจีนลากรถเสียเอง ก็ยังมีความแปลกใจให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ที่พบเห็นทุกคน เลยกลายเป็นเสียงซุบซิบเล่าสู่กันฟังจนหนาหู แต่พระยานรรัตนฯ ก็มิได้สนใจต่อข่าวลือที่เป็นมงคล และอัปมงคลแต่ประการใดเลย
ในด้านโหราศาสตร์นั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญและทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายต่อมาภายหลังพระยานนรรัตนฯ ได้เผาตำหรับตำราโหราศาสตร์จนหมดเกลี้ยง พระภิษุกมฺพโล บอกกับข้าพเจ้าว่า เป็นเพราะไปทำนายทายทักอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อยให้แก่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๖ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระยานรรัตนราชมานิตจึงเลิกทำนายทายทักแต่นั้นเป็นต้นมาพระยานรรัตนราชมานิต มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ๒ คน คนรองเป็นผู้หญิงชื่อ เลื่อน ปัทมะสุนทรคนสุดท้องเป็นชายชื่อ ตริ จินตยานนท์ น้องทั้งสองปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ต่อไปนี้คือข้อความในหนังสือพระราชทานบรรดาศักดิ์ ของพระยานรรัตนราชมานิต ตามต้นฉบับเดิมฉบับที่ ๑สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าหมื่นสรรเพชภักดีเป็นพระยานรรัตนราชมานิตจางวางมหาดเล็ก ถือศักดินา ๓๐๐๐ ทำราชการตามตำแหน่งตั้งแต่บัดนี้ไปจงเว้นการควรเว้น หมั่นประพฤติการควรประพฤติ สมควร ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต แก่ตำแหน่งทุกประการ ตามอย่างธรรมเนียมข้าราชการทั้งปวง ขอให้มีสุขสวัสดิ์เจริญเทอญ.ตั้งแต่ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๕ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชการปัตยุบันนี้ฉบับที่ ๒สมเด็จพระรามาธิบดีสินทรมหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษบรมราธิราชพินิตประชานารถมหาสมมตวงษ์ อติศัยพงษ์วิมลรัตน์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชธิราชบรมนารถบพิตร์ พระมงกุฎเกล้าเจ้ากรุงสยามขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้หัวหมื่น พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท.จ. จ.ม. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓, เป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเราเป็นองคมมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเรา เพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณ เป็นประโยชน์ มีความเจริญสมบูรณ์ แลราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติแลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยามปัตยุบันนี้ และตามกฏหมายข้อพระราชบัญญัติซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีแลรัฐมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.พระราชทานที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ ฉบับที่ ๓ สมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดีเทพยปรียมหาราชรวิวงศ์ อสัมภินพงศพรีกษัตร บุรุษรัตนราชนิกโรดม จตุรันตบรมมหาจักรพรรดราชสังกาศฯ ปรมินทรธรรมมิกมหาราชาธิราชบรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้ากรุงสยาม ขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้ จางวางตรี พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ป.ม. ท.จ. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓ ซึ่งเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเราเป็นองคมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเราเพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณประโยชน์มีความเจริญสมบูรณ์ และราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงได้ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูกตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติแลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยามปัตยุบันนี้ แลตามกฏหมายข้อพระราชบัญญิตซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.พระราชทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๘ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัตยุบันนี้
ชีวิตในเพศบรรพชิตพระยานรรัตนราชมานิต
ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ มีอายุครบ ๒๘ ปี ที่ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า ธมฺมวิตกโกหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านก็ศึกษาปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ไปตามท้องถนนเยี่ยงพระนวกะทั่วไปจนครบหนึ่งพรรษาครั้นย่างเข้าพรรษา ๒ ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงงดบิณฑบาตรโปรดสัตว์แต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มฉันจังหันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น โดยมีญาติเป็นผู้นำปิ่นโตมาถวาย อาหารที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตฉันนั้นก็ล้วนเป็นอาหารเจทั้งสิ้นคือไม่มีเนื้อสัตว์ และสิ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือมะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้า ครั้นพรรษาต่อไปท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต จึงได้งดฉันจังหันในวันพระทุกวันพระอีกด้วย ซึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประจำจนกระทั่งได้มรณภาพลง กิจวัตรที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะขาดเสียมิได้นั่นก็คือการลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็นเป็นประจำ ท่านบอกกับภิกษุสงฆ์ในวัดเสมอว่า"ถ้าท่านขาดทำวัตรครั้งใด นั่นก็หมายความว่า ท่านต้องอาพาธหนัก หรือได้มรณภาพไปแล้ว"และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ขาดลงอุโบสถ เพราะท่านเดินมาลงโบสถ์และเหยียบถูกงูเห่า งูจึงกัดที่เท้าท่าน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยังลงโบสถ์ทำวัตรต่อไป โดยมิยินดียินร้ายต่อเขี้ยวของอสรพิษแต่อย่างใด ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องรีบเข้าสถานเสาวภาอย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา โดยมิต้องวิ่งไปหาหมอหรือหาหยูกหายามาฉันเลยแม้แต่อย่างเดียวท่านกระแสร์จิตอันแก่กล้า ของท่านเท่านั้นที่ดับพิษร้ายของงูเห่าไม่ให้ทำอันตราย ต่อองค์ท่านได้ แต่ถึงกระนั้นก็เล่นเอาท่านแทบแย่เหมือนกัน เท้าข้างที่ถูกงูกัดบวมเต่งตึง จะนั่งลุกก็แสนจะลำบากเมื่อเวลาทำวัตรสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทรงเห็นเข้าจึง ได้ขอร้องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ งดลงทำวัตรจนกว่าเท้าจะหายบวมด้วยความเกรงใจและระลึกเคารพต่อผู้มีพระคุณฝังจิตใจของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่นั้น ท่านเจ้าคุณจึงได้งดลงโบสถ์ ๑ วัน รุ่งขึ้นเท้าข้างที่บวมเต่งตึงก็อันตรธานหายไปอย่างปลิดทิ้ง เกิดความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เสียงโจษจรรเล่าลือจึงระบือไปทั่วว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีกระแสร์จิตแก่กล้าสามารถระงับพิษให้เหือดหายไปเอง โดยไม่ต้องไปหามดหาหมอและฉันยาแต่อย่างใดเลย และเคล็ดลับการปฏิวัติร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บนั้นก็ได้มีผู้ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อครั้งเป็นฆรวาสได้ปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ จนสามารถระงับโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดขึ้นได้ ครั้นเจ้าคุณนรรัตนฯอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ผ่านไปเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจึงได้เขียนหนังสือวิธีปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ ถวายแด่อุปัชฌาย์ท่านเจ้าคุณพระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีใจความดังต่อไปนี้๒๕ มิถุน ๖๙ขอประทานกราบเรียน พระคุณเกล้าฯ ขอประทานถวายวิธีบริหารร่างกายประจำวัน ซึ่งเกล้าฯ มั่นใจว่าถ้าไม่มีอดีตกรรมตามสนองแล้ว การบริหารร่างกายที่ถูกต้องตามกฏของธรรมดาโดยสม่ำเสมอท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจริงๆ จะช่วยส่งเสริมให้รูปขันธ์นี้เป็นเรือนอันแข็งแรงมั่นคง และทนทาน เป็นที่อาศัยของนามขันธ์ได้อย่างวัฒนาถาวร ห่างจากโรคพยาธิ์มีโอกาสใช้ชีวิตช่วยยังประโยชน์ให้แก่โลกได้ยืดยาวจนสุดเขตชัยแห่งอายุเกล้าฯ เป็นเด็กขี้โรคมาแต่เดิม โยมผู้หญิงผู้ชายขี้โรค ทั้งเกล้าฯ ได้เคยกรากกรำอดหลับอดนอนจนร่างกายทรุดโทรมมาครั้งหนึ่งแล้วในระหว่างรับราชการ ถึงกับเป็นโรคเส้นประสาทอ่อน (Neurasthenia) มีร่างกายผอมซีดสามวันดีสี่วันไข้ จนสมเด็จพระบรมบพิต พระราชสมภารเจ้ารัชกาลที่ ๖ ทรงออกพระโอษฐว่า "เกรงจะเป็นฝีในท้อง Consumption เสียแล้ว" เกล้าฯ ต้องถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่การรักษาด้วยวิธีแลยาต่างๆ หลายอย่างหลายชนิดไม่เป็นผลเลย เกล้าฯ ได้พยาบาลบริหารร่างกายด้วยหันเข้าหากฏของธรรมดา ตามวิธีที่กราบเรียนถวายมานี้โดยสม่ำเสมออย่างที่เรียกว่า "เมื่อจะทำอะไรต้องทำกันจริงๆ" จนได้รับผลดี มีร่างกายสงบสบายเรื่อยมาจนบัดนี้ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องไต่ถาม หรือปรึกษาหมอในเรื่องโรคภัยส่วนตัวอีกเลยฯในรูปพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ผู้บวชถวายราชกุศล ร.6 ถ่ายภาพร่วมกับ พระภิกษุพระยาสีหราชฤทธิไกร ผู้บวชถวายพระราชกุศล ร.5 ณ วัดราชบพิตรเมื่อพ.ศ.2469



เหลือเวลา
รายการปิดแล้ว!

วันที่เริ่ม September 28, 2020 10:15:38
วันที่ปิดประมูล September 29, 2020 11:28:14
ราคาเปิด10
เพิ่มครั้งละ10
ธนาคารกรุงเทพ (ฟิวเจอร์) ,

chutichai11

ผู้เสนอราคาล่าสุด

580

ราคาล่าสุด


ความคิดเห็นจากผู้ซื้อ


โอนเรียบร้อยครับ


chutichai11September 29, 2020 11:34:03

ความคิดเห็นจากผู้ขาย


EG 3654 1286 5 TH ขอขอบพระคุณท่านที่มาอุดหนุนคะ


พันธุ์ทิพย์September 30, 2020 08:39:33

รายละเอียดเพิ่มเติม

ความเห็นจากเพื่อนสมาชิก

ประวัติการประมูล

ประวัติการเสนอราคา

ชื่อสมาชิก/วันที่เสนอราคา เสนอ

ประวัติการเสนอราคา

เหลือเวลา
รายการปิดแล้ว!


ต้องการเข้าร่วมประมูล !

ท่านต้องเป็นสมาชิกที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น