พระผงหลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย ปี 2520 (รุ่นประสบการณ์)
นับเป็นวัตถุมงคลยอดนิยมอีกรุ่นของชาวหนองคายและสาธุชนที่มีจิตศรัทธาทั้งหลาย โดยทางวัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง ได้จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกวัตถุมงคล “หลวงพ่อพระใส” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เป็นศูนย์รวมใจของพุทธศาสนิกชนทั้งในจังหวัดหนองคาย และพื้นที่ใกล้เคียง ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2520 มีการนิมนต์พระเกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงมากมายในสมัยนั้น เข้าร่วมพิธีด้วย โดย แบ่งพระคณาจารย์ เข้านั่งปรกในพิธีทั้งสิ้นถึง 5 ชุด ปรากฏรายละเอียดดังนี้
ชุดที่ 1 เริ่มเข้านั่งปรก 20.00 น. – 22.00 น. ปรากฏรายนามพระคณาจารย์ดังนี้
1. พระรักขิตวันมุนี(หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี\n2. พระสังวิมลเถระ(หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ\n3. พระครูศีลสารสัมบัน(พระอาจารย์สำรวย) วัดสระแก้วปทุมทองพิษณุโลก\n4. พระครูพิลาสธรรมกิตติ์(พระอาจารย์ทวี) วัดโรงช้าง พิจิตร\n5. พระครูธรรมาชัย วัดทุ่งหลวง เชียงใหม่\n6. หลวงปู่สำลี ปกาโส วัดซับบอน สระบุรี\n7. หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี\n8. หลวงพ่อคำแสน ไชยวุฒิ วัดท่าแหน ลำปาง\n9. พระอาจารย์อ่อน วัดป่านิโครธาราม อุดรธานี\n10. พระครูวรวุฒิคุณ วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่\n11. พระอาจารย์จวน วัดภูทอก หนองคาย\n\nชุดที่ 2 เริ่มเข้านั่งปรก 22.00 น. – 24.00 น. ปรากฏรายนามพระคณาจารย์ดังนี้\n\n1. พระโสภณวิสุทธิเถร วัดศรีละขัน สุพรรณบุรี(สะกดตามต้นฉบับ)\nที่ถูกคือ พระโสภณวิสุทธิเถร วัดศีลขันธ์ อ่างทอง\n2. พระอุดมวุฒิคุณ วัดสำเภา เชียงใหม่\n3. พระเกษมธรรมานนท์ (หลวงพ่อแช่ม) วัดดอนยายหอม นครปฐม\n4. พระครูประภาสธรรมาภรณ์ วัดสุนทรประดิษฐ์ พิษณุโลก\n5. พระครูรัตนานุรักษ์ (พระอาจารย์แก้ว) วัดปงสนุกใต้ ลำปาง
6. พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม วัดสิริสาลวัน อุดรธานี\n7. พระอาจารย์จ้อย จันทสุวรรณโณ วัดศรีอุทุมพร นครสวรรค์\n8. หลวงพ่อศรีทัต วิปัสสโน วัดธาตุหนองสามหมื่น ชัยภูมิ\n9. เจ้าอธิการบุญชุบ พินนโค วัดเกาะวาธุการาม ลำปาง\n10. พระครูมงคลศิลวงศ์ วัดบุพพราม เชียงใหม่
11. พระครูเหรียญ วัดผาชัน อ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย\n\nชุดที่ 3 เริ่มเข้านั่งปรก 24.00 น. – 02.00 น. ปรากฏรายนามพระคณาจารย์ดังนี้
1. พระครูวิมลกิจจารักษ์ (พระอาจารย์สิริ) วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ
2. พระครูศรีภูมานุรักษ์ วัดป่าสามัคคีธรรม สกลนคร
3. พระครูศรีปริยัติยานุรักษ์ (พระครูบาไฝ) วัดพันอ้น เชียงใหม่
4. พระครูบวรชินรัตน์ (พระอาจารย์บุรัชย์) วัดนางพญา พิษณุโลก
5. พระครูสนิทวินัยการ (พระอาจารย์สนิท) วัดท่าโขลง ลพบุรี
6. พระครูปิยธรรมภูษิต (พระอาจารย์คำ) วัดบำรุงธรรม สระบุรี
7. พระครูอ่อนศรี วัดพระงาม ท่าบ่อ หนองคาย
8. พระปลัดกอง จันทวังโส วัดกษัตราธิราช อยุธยา
9. พระอาจารย์สน เขมิโย วัดอรัญญานาโพธิ์น้อย นครพนม
10. พระอาจารย์บุญ ชินวังโส วัดศรีสว่างแดนดิน สกลนคร
11. ญาท่านบุญมาก วัดท่าไร่ หนองคาย
ชุดที่ 4 เริ่มเข้านั่งปรก 02.00 น. – 04.00 น. ปรากฏรายนามพระคณาจารย์ดังนี้
1. พระครูกิตตินนทคุณ (พระอาจารย์กี๋) วัดหูช้าง นนทบุรี
2. พระครูสังคมคณารักษ์ วัดสังคมธรรมาราม หนองคาย
3. พระครูภาวนาภิสนฑ์ วัดโชติรสธรรมกร สกลนคร
4. พระครูสังฆรักษ์สัมฤทธิ์ วัดอู่ทอง สุพรรณบุรี
5. พระครูอินทศิริชัย วัดไทย นครปฐม
6. พระอาจารย์ชาย วัดสังทอง มหาสารคาม
7. พระอาจารย์แพงตา เขมิโย วัดประดู่วีรธนนม นครพนม
8. พระครูโอภาสประทุม โพนพิสัย หนองคาย
9. พระครูสิริธรรมญาณ วัดลำดวน ท่าบ่อ หนองคาย
0. พระอาจารย์คำแหวน สิริปัญโญ วัดบ้านห้วยดอกไม้ หนองคาย
ชุดที่ 5 เริ่มเข้านั่งปรก 04.00 น. – จนดับเทียนชัย ปรากฏรายนามพระคณาจารย์ดังนี้
1. พระโบราณคณิสสร (พระอาจารย์ใหญ่) วัดสระแก(สะกดตามต้นฉบับ)อยุธยา
2. พระครูพิทักษ์วิหารกิจ (พระอาจารย์สา) วัดราชนัดดา กรุงเทพฯ
3. พระครูประสาทวรคุณ (พระอาจารย์พริ้ง) วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี
4. พระครูพิบูลธรรมเวศ (หลวงพ่อเปรื่อง) วัดหิรัญญาราม พิจิตร
5. พระครูสุวรรณวิสุทธิ วัดธัญญาวารี สุพรรณบุรี
6. พระครูญาณกิตติคุณ (พระอาจารย์ยุ่น) วัดตงยวด อุดรธานี
7. พระครูญาณวิภาค (ครูบาคำพันธ์) วัดดอนจีน เชียงใหม่
8. พระอาจารย์แว่น ธนปาโล วัดสุทธาวาส สกลนคร
9. พระอาจารย์พันธุ์เทพ วัดศรีบุญเรือง เชียงใหม่
10. พระอาจารย์คูณ วัดท่าไร่??? หนองคาย (สะกดตามต้นฉบับ)
หมายเหตุ จากการค้นหารายชื่อวัดภายในจังหวัดหนองคายมีเพียง 2 วัด
• วัด บ้านไร่ ตำบล โพนทอง อำเภอโพธิ์ตาก หนองคาย\n• วัด เฝ้าไร่วนาราม บ้าน เฝ้าไร่ ตำบล เฝ้าไร่ อำเภอเฝ้าไร่ หนองคาย\nหรืออาจเป็น วัดบ้านไร่ นครราชสีมา ????
11. ญาท่านสิงห์ \n\nนอกจากพระคณาจารย์ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปนั่งปรกตามรอบเวลา ทั้ง 5 ชุดแล้ว ตามเอกสารยังระบุนามพระที่นั่งปรกเป็นพิเศษโดยไม่จำกัดเวลาอีก 1 องค์ ได้แก่
• หลวงพ่อเจีย วัดถ้ำเจือ หนองคาย
ความน่าสนใจของวัตถุมงคลชุดนี้ แค่เพียงความศักดิ์สิทธิ์ของ “หลวงพ่อพระใส” พระคู่บ้านคู่เมือง เชื่อได้ว่าเพียงพอที่จะแผ่บารมีคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ของผู้ครอบครองได้ หากแต่เมื่อพิจารณาถึงรายนามพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งยุคนั้นทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต ในพิธีพุทธาภิเษกที่จัดขึ้นอย่างเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนพุทธศิลป์ที่สวยงามกดพิมพ์ได้คมชัดลึกแทบทุกองค์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลรุ่นนี้ เป็นที่นิยมของทั้งชาวหนองคายและผู้คนทั่วไป ซึ่งต่อมายิ่งโด่งดังมากขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ที่นำความโศกสลดมาสู่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ในวันที่ 27 เมษายน 2523 ในครั้งนั้นพระคณาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้รับอาราธนาจากทางสำนักพระราชวัง ทั้งหมดจำนวน 5 รูปด้วยกัน ได้แก่คือ
พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม,
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม,
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ,
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม
หลังจากรับนิมนต์พระคณาจารย์ทั้งหมดจึงได้ไปรวมกันที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน TG 231 อุดรธานี-กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเครื่องบิน 2 ใบพัด รุ่น HS-748 รหัส HS-THB บินออกจากท่าอากาศยานอุดรธานี จะไปลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพราะลูกศิษย์ลูกหาต้องการถวายความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง
ครั้นเมื่อเครื่องบินมาถึงท้องนาทุ่งรังสิต เขตหมู่ที่ 4 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เหลือระยะทางอีเพียงประมาณ 20 กิโลเมตรเศษ เครื่องบินได้ตั้งลำและลดเพดานบินเพื่อเตรียมลงสู่สนาม แต่เนื่องจากเครื่องบินได้ประสบพายุหมุน ประกอบกับมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก มีลมกระโชกแรง เกินที่นักบินจะควบคุมเครื่องให้ลงจอดได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายจึงเสียการควบคุมตกลงมากระแทกกับพื้นดินบนท้องนาทุ่งรังสิต ทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องจำนวน 53 คน เสียชีวิตไปถึง 40 คน อุบัติเหตุเครื่องบินตกในครั้งนั้นเป็นเหตุทำให้ พระคณาจารย์ทั้ง 5 รูป ได้ถึงแก่มรณภาพลงพร้อมกันกับผู้โดยสารอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อเวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา มีผู้ที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์จากเหตุการณ์ดังกล่าวเพียง 13 คนเท่านั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ที่นั่งทางส่วนท้ายของเครื่องบิน เพราะส่วนหางของเครื่องบินยังอยู่ในสภาพดี และหนึ่งในนั้นคือ นายสมพร กลิ่นพงศา ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายในขณะนั้น ส่วนอีกคนนั้น คือ นายศักดา อัครเมธาทิพย์ อดีตผู้บัญชาการเรือนจำหนองคาย ก่อนขึ้นเครื่องได้ไปนมัสการ หลวงพ่อพระใส พร้อมทั้งเช่าบูชาวัตถุมงคล และพระบูชาขนาดหน้าตัก 5 นิ้วนำติดตัวขึ้นเครื่องมาด้วย และอีกหลายคนที่รอดตายอย่งเหลือเชื่อนี้ ก็มีพระรุ่นนี้อาราธนาติดตัวอยู่เช่นกัน จากประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนี้ ทำให้ความนิยมในวัตถุมงคลรุ่นนี้เพิ่มมากขึ้น จนนักสะสมในพื้นที่มักเรียกขานพระใสเนื้อผงรุ่นปี 20 นี้ว่า “รุ่นประสบการณ์(เครื่องบินตก)” นับเป็นพระใสเนื้อผงยอดนิยม ประสบการณ์สูง ที่คนพื้นที่หวงแหนกันมาก จนค่อนข้างจะหายากแล้วในขณะนี้ โดยเฉพาะพระสวยสมบูรณ์ กดพิมพ์ได้คมชัด ผิวเดิม ๆ คนที่มีอยู่ก็มักเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานไว้เป็น สิริมงคลแก่ตัว
วัดโพธิ์ชัย เดิมชื่อ “วัดผีผิว” วัดนี้ใช้เป็นที่เผาผีหรือเผาศพ ในสมัยก่อนผีดุ มาก จนต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดโพธิ์ชัย ในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เองปัจจุบันเป็นสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสนชั้นหลัง หล่อด้วยทองสุก (เป็นทองคำที่มีเนื้อบริสุทธิ์ ประมาณ 92 เปอร์เซ็นต์ สีของเนื้อทองคำจะมีสีเหลืองเข้ม เรียกว่า สีทองสุก) พุทธลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว สูงจากเบื้องล่างจากส่วนพระชงฆ์(เข่า) ถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว มีห่วงกลมขนาดหัวแม่มือ จำนวน 3 ห่วงติดกับพระแท่นซึ่งหล่อติดกับองค์พระ สำหรับผูกเชือกติดกับราชยาน เวลาที่อัญเชิญลงมาแห่รอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี
หลวงพ่อพระใส ตามตำนานว่าจัดสร้างขึ้นโดย พระราชธิดาในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างร่มขาว ทั้ง 3 พระองค์ คือ พระสุก พระเสริม และพระใส
เดิมทีนั้น หลวงพ่อพระใส ได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ พ.ศ.2321
สมัยกรุงธนบุรีได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองเวียงคำ และต่อมาได้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทน์อีก ในรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ประพฤติเป็นกบฎ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยตั้งขบวนมาจากภูเขาควาย จากนั้นจีงนำขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม ครั้นเมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่น เกิดเหตุอัศจรรย์โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ และบริเวณนั้นได้นามว่า \"เวินแท่น\"\n\nการล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึงน้ำโขง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง ในอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ได้เกิดพายุใหญ่ เสียงฟ้าคำรามกัมปนาทกึกก้อง จนในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ หลังเกิดเหตุดังกล่าวอาการวิปริตผิดธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้น ก็ได้ปลาสนาการหายไปเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า \"เวินสุก\" และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้\nก็ยังเหลือแต่พระเสริม พระใส ที่ได้นำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้นได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใส ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัย หนองคายไปพระนคร และอัญเชิญพระใสจากวัดหอก่องขึ้นประดิษฐานบนเกวียนจะอัญเชิญลงไปด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธื์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหัก จึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วน\"หลวงพ่อพระใส
"ได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย ในอำเภอเมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุอัศจรรย์จากความศักดิ์สิทธิ์ของ\"หลวงพ่อพระใส\"นี้เอง จึงมีผู้ถวายสมัญญานามท่านอีกสมญาว่า \"หลวงพ่อเกวียนหัก\"