****ตะกรุดหลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส เนื้อตะกั่วถักเชือกลงรัก ขนาด 3.7 นิ้ว มาพร้อมบัตรรับรองจากสถาบันการันตีพระ(G-PRA) ตัวจริงเสียงจริง 1 เดียวในเว็บครับผม*****

ปิด สร้างโดย: เหน่งบางคู้13  (684)(1)




ในบรรดาเกจิอาจารย์ที่สำคัญของประเทศหลวงปู่ปานแห่งวัดคลองด่านนับ ว่ามีชื่อเสียงมิได้น้อยหน้ากว่าผู้ใด ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท่านยังเล่าลือสืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน

หลวงปู่ปานเกิดที่บ้านตำบลคลองด่าน (ตำบลบางเหี้ยในอดีต) จังหวัด สมุทรปราการ มีปู่ชื่อ เขียว ย่าชื่อ ปิ่น โยมผู้ชายชื่อ ปลื้ม โยมผู้หญิงชื่อตาล ท่านมีพี่น้องร่วมอุทรหลายคน แต่ไม่มีความสำคัญ ประวัติจึงถูกลืมเลือนไป หลวงปู่ปานชาตะใน ปีพ.ศ.๒๓๗๐ มรณภาพในปี พ.ศ.๒๔๕๔ สิริรวมอายุได้ ๘๔ ปี

ในเมื่อสมัยยังเยาว์วัย ท่านได้ใช้ชีวิตแบบลูกทุ่งชนบท ครั้นแตกพานบรรลุเข้าสู่วัย ๑๕ ปีปลาย เริ่มมีจิตปฎิพัทธ์ ผูกพันในเพศตรงข้ามตามปุถุชนวิสัย วันหนึ่งท่านได้ตกแต่งเนื้อตัวเสียหล่อเหลา ดั้นด้นไปจนถึงบ้านสาวรัก แต่พอล้างเท้าก้าวย่างขึ้นสู่บันไดบ้านเท่านั้นเกิดอัศจรรย์ขึ้น บันไดไม้ตะเคียนอันแข็งแรง พลันหลุดออกจากกัน ท่านต้องพลัดตกจากบันได ท่านคิดว่าเป็นลางสังหรณ์ว่าสิ้นวาสนาในทางนี้เสียแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านและครุ่นคิดตัดสินใจอยู่หลายวัน ผลที่สุดตัดใจใช้ชีวิตในพระบวรพุทธศาสนา

จากนั้นจึงกล่าวคำอำลาญาติโยม สะพายย่ามเดินทางจากบางเหี้ย สู่จุดหมายปลายทาง คือ วัดอรุณราชวราราม ธนบุรี นับได้ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในทางพรหมจรรย์อย่างยิ่งผู้หนึ่ง ได้ฝากตัวบรรพชาเป็นสามเณรเล่าเรียนอักขรสมัย พระบาลีมูลกัจจายน์ พร้อมทั้งปฏิบัติในด้านวิปัสสนาธุระ จวบจนอายุย่างเข้าเกณฑ์จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยพระคุณเจ้าพระศรีศากยมุนีเป็นองค์อุปัชฌาย์

พระอาจารย์แตง
วัดอ่างศิลา ชลบุรี

ครั้นร่ำเรียนวิทยาการจนเชี่ยวชาญแก่กล้า ท่านได้ชักชวนพระภิกษุเรือน ซึ่งเป็นสหธรรมมิกร่วมสำนัก เดินทางท่องเที่ยวแสวงหาสำนักอาจารย์ เพื่อร่ำเรียนวิชาให้แก่กล้ายิ่งขึ้น ได้ดั้นด้นไปจนถึงวัดอ่างศิลา อำเภอเมืองชลบุรี ฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของหลวงปู่แตง เจ้าอาวาส  ได้เรียนและศึกษาวิทยาการแขนงต่างๆ ในด้านวิปัสสนาธุระ ตลอดทั้งไสยเวทย์จนเชี่ยวชาญ และที่ลือชาปรากฏเป็นอมตะก็คือเขี้ยวเสือโคร่งซึ่งแกะเป็นรูปเสือนั่งและหลวงปู่เรือน ก็ได้ศึกษาพร้อมกัน เพียงแต่ไม่ขลังเท่าหลวงปู่ปาน อันความขลังและศักดิ์สิทธิ์นั้นนัยว่า จะล้ำหน้าหลวงปู่แตงองค์ปรมาจารย์ด้วยซ้ำไป

อันอภินิหารของปรมาจารย์หลวงปู่แตงนั้นนับว่าไม่เบา เล่ากันสืบต่อมาว่า ครั้งหนึ่งมีนายคชบาลนำโขลงช้างมาจากจังหวัดสุรินทร์ เข้าอาศัยพักในวัดอ่างศิลาและนำโขลงช้างไปเลี้ยงโดยมิบอกเล่าเก้าสิบแก่ผู้ใด นอกจากนั้นยังอวดศักดาภินิหารโดยใช้ขวานถากเสาศาลามาใช้ทำฟืนหุงข้าวเสียอีกด้วย ในลักษณาการคือใช้ขวานถากหน้าแข้งเล่น แต่ดันไปถากเอาเสาศาลาจนปี้ป่น ทั้งยังปล่อยโขลงช้างให้เหยียบย่ำบริเวณไร่กล้วย ซึ่งใช้อาศัยเป็นภัตตาหารหล่อเลี้ยงพระภิกษุสามเณรในวัดยามอัตคัดขาดแคลน

ปรมาจารย์หลวงปู่แตง พิจารณาเห็นว่านายคชบาลผู้นี้ถึอดีว่ามีวิชาแก่กล้า ปราศจากสัมมาคารวะ ชอบแต่ข่มเหงผู้คนจนติดเป็นนิสัยสันดาน จำอาตมาต้องสั่งสอนให้ละพยศ คลายมิจฉาทิฏฐิลงบ้าง คิดแล้วท่านจึงนำกะลามะพร้าวใบเล็กๆ ใบหนึ่งมาครอบโขลงช้างไว้

ฝ่ายนายคชบาลครั้นอิ่มข้าวอิ่มปลาแล้วมองไม่เห็นโขลงช้าง ไม่ทราบว่ามันหนีไปเที่ยวทางใด ตัวหรือก็ออกใหญ่โต  เพียรค้นหาสักเท่าใดก็ไม่พบ หนึ่งวันสองวันก็ร้อนใจ กระสับกระส่าย ในที่สุดก็คิดเฉลียวใจ จึงนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาหลวงปู่แตง และยินยอมรับสร้างเสาศาลาใช้ให้ดีเหมือนสภาพเดิม ปรมาจารย์หลวงปู่แตงจึงเดินไปสู่ป่ากล้วย เปิดกะลามะพร้าวพลิกหงายขึ้น พบลูกหนูตัวเล็กๆ สี่ตัวคลานต้วมเตี้ยมออกมาด้วยอาการอิดโรยและแล้วมันพลันกลับกลายเป็นช้างสารตัวมหึมาถึงสี่เชือก ยังความศรัทธาและเกรงกลัวแก่นายคชบาลผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง และหลังจากการซ่อมเสาศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินทางต่อไปโดยมิรีรอ

หลวงปู่ปานและหลวงปู่เรือนสำเร็จวิชาตามปรารถนาแล้วก็อำลาองค์ปรมาจารย์ กลับคืนสู่มาตุภูมิ เข้าพำนักพักพิงอยู่ ณ วัดบางเหี้ย ในปัจจุบันชาวบ้านนิยมเรียกว่าวัดบนคลองด่าน ทำเนียบวัดทางราชการ เรียกว่าวัดมงคลโคธาวาส มิช้ามินาน หลวงปู่ปานได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสครองวัด หลวงปู่เรือนเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส

จากคำโบราณที่เรียกว่าบางเหี้ยนั้น เพราะทำเลเดิมเป็นคลองน้ำเค็ม สองฟากฝั่งบริบูรณ์ไปด้วยป่าจาก แสม  โกงกาง กระบูน เจ้าตระกูลไดโนสอร์ พวกเหี้ยตะกวดนับว่าชุกชุมเป็นเอกะ ปัจจุบันแม้จะถูกล่าตัวไปถลกหนังขาย ก็ยังเป็นสิ่งน่าขำขัน คือใต้ถุนร้านชำในตลาดคลองด่านมีเจ้าพวกนี้อาศัยกันยั้วเยี้ยทีเดียว น่าสงสารมัน มิทราบจะไปทางไหน อยู่กันมานานนมจนตัวโตเกือบจะเท่าจระเข้อยู่แล้ว มันก็คือสัตว์โลกธรรมดา และยังดีกว่าคนบางคนที่สมมุติตนว่าเป็นสัตว์อันประเสริฐด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่เคยเบียดเบียนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใดเลย มีนิยายเล่ากันสืบต่อมาว่า ยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งร่ำรวยมหาศาล มีเงินทองล้นเหลือจนรำคาญ จึงนำทองคำบริสุทธิ์มาหล่อเป็นรูปสัตว์ตระกูลไดโนสอร์ขนาดเท่าตัวจริงให้ลูกสาวลากเล่น ซึ่งพิจารณาแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทองคำนั้นมีน้ำหนักเท่ากับน้ำ ๑๙ ส่วน คิดแล้วเป็นน้ำหลายปีบ เด็กลากไม่ไหวแน่ ถึงจะทำเป็นล้อเลื่อนก็ออกแรงฉุดไม่ไหว นอกจากเด็กผู้นั้นเรียนวิชาเจ็ดช้างสาร

หลวงปู่ปานพระคณาจารย์นามอุโฆษลือลั่นไปทุกชอกมุมของประเทศ สมัยที่ผู้เขียนประจำอยู่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ พบชาวจีนอายุประมาณ ๗๐ ปีอพยพหลบภัยมาจากนครเวียงจันทน์ คุยให้ฟังว่า เคยเป็นคนเกิดในประเทศไทยนี้แหละ ต่อมาได้ไปหากินทางตัดเสื้อผ้าทางฝั่งลาว เมื่อเล็กๆ เคยเป็นเด็กวัดหลวงปู่ปาน ได้รับใช้ใกล้ชิดและเคยเห็นเหตุการณ์ต่างๆ พอจำได้คือ วันหนึ่งหลวงปู่เห็นว่าเด็กคนนี้ใจพอเอาได้ จึงชวนให้แกถือเสียมติดตามไปสู่ป่าช้าในเวลาวิกาล

พอถึงหลุมฝังศพแห่งหนึ่ง หลวงปู่จัดแจงตอกหลักขึงสายสิญจน์ จุดเทียนเข้าเล่มหนึ่ง นั่งบริกรรม ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว ดินที่หลุมศพค่อยๆ พังทลายออก ศพมัดตราสังหญิงตายท้องกลมบวมอลึ่งฉึ่ง ลุกขึ้นนั่งได้ หลวงปู่พิจารณาด้วยอสุภกรรมฐานพักหนึ่ง แล้วบริกรรมอาคมขึ้นทันที ปรากฏว่าศพนั้นใหญ่ขึ้นได้ และสูงขึ้นสูงขึ้น แล้วมันก็ค่อยๆ ต่ำลงในล้กษณะธรรมดา ยื่นคางให้หลวงปู่ๆ ก็ใช้เทียนบริกรรมเล่มนั้นแหย่เข้าที่คางเสียงดังฉี่เหม็นเขียว แล้วท่านก็รองน้ำมันพรายให้หยดลงในขวด ครั้นแล้วบังคับให้มันนอน ต่อจากนั้นใช้เสียมกลบจนเรียบร้อย

ทั้งนี้มิใช่หลวงปู่จะประพฤติตนเป็นหมอเสน่ห์ หาทางตกนรกอะไรหรอก เพราะตัดหน้านักเลงทางนี้ประการหนึ่ง เพื่อมิให้เป็นโพยภัยในวันหน้าและโดยปกติหลวงปู่ก็พยายามช่วยบำบัดผู้ที่เคราะห์ร้ายโดยถูกการกระทำด้วยวิชาชนิดนี้ เพราะมีดาวร้ายอยู่ใน ละแวกแถวถิ่นตำบลคลองด่าน ชื่ออาจารย์ทอง แกเก่งทางนี้และในที่สุดก็ตายไม่ดี ผู้เล่าเป็นเด็กวัด จิตใจแข็งแกร่งกว่าเด็กชาวบ้านธรรมดา ถึงกระนั้นก็ถึงกับตัวแข็งและบางครั้งต้องหลับตาและเชื่อความสามารถของหลวงปู่ว่าต้องคุ้มครองตนได้เท่านั้นเอง การกระทำเช่นนี้ คล้ายกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรฺหมฺรังสีไปแกะเอาหน้าผากแม่นาคพระ โขนงมาทำปั้นเหน่ง เพื่อมิให้มันแผลงฤทธิ์ต่อไปเท่านั้นเอง

ครั้นตอนเช้าหลวงปู่ปานได้ชวนผู้เล่าไปที่ริมคลองน้ำเค็ม หยิบขวดน้ำมันพรายมาเปิดฝาจุกออก ใช้ไม้ขีดไฟแยงลงไปแล้วโยนทิ้งลงในน้ำ ปรากฏว่าไม้ขีดไฟก้านนั้นวิ่งทวนน้ำแลดูคล้ายปลากระทุงเหว แปลกจริงๆ และผู้เล่ายังประสพพบเห็นหลวงปู่ปานนั่งเสกน้ำพระปริตร มิใช่เดือดพล่าน แต่พุ่งเป็นฝอยคล้ายน้ำพุให้ดูเล่น จึงเลื่อมใสในองค์ท่านมาก

โดยปกติหลวงปู่ปานเป็นผู้ที่พูดน้อย ประกอบด้วยเมตตาพรหมวิหารมีวาจาสิทธิ์ เป็นที่เคารพยำเกรงและเลื่อมใสแก่บุคคลผู้พบเห็น ทรงฌานสมาบัติชั้นสูง แลก็ในสมัยนั้นเป็นสมัยคลั่งหวย กอ ขอ ท่านก็ใบ้ให้คนทุกข์ยากแก้จนเสียมากต่อมาก จนเจ้ามือหวย หรือ ที่เรียกกันว่า ขุนบาล ต้องร้อนใจ มากราบกรานฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของหลวงปู่ เหตุการณ์ก็ค่อยบรรเทาเบาลง

ในด้านวาจาสิทธิ์ ท่านพูดคำไหนมักจะเป็นไปตามปากพูด มี ศิษย์ผู้หนึ่งเป็นจีน มีนิลัยซุ่มช่าม แอบไปซุ่มดูท่านฝังเสืออันศักดิ์สิทธิ์ ท่านดุว่า นี่จะ บ้าหรือ เท่านั้นเอง นอกจากบ้าแล้วยังใบ้อีก และจำที่ฝังเสือไม่ได้ ทนทุกข์ทรมานอยู่เป็น เวลาถึง ๔ ปี จึงหายเปีนปกติ ต่อจากนั้นมาท่านไม่ค่อยเอ่ยปากพูดและพยายามพูดแต่ สิ่งที่ดีๆ ไม่พยายามดุด่าว่าใครอีก

กิจวัตรที่หลวงปู่จะขาดเสียมิได้คือการออกธุดงค์รุกขมูลเปีนประจำ หลังจากออกพรรษาแล้ว และมีสายสมทบเป็นจังหวัดๆ บางคราวมีมากประมาณ ๕๐๐ รูป หลวงปู่จะนำกองทัพธรรมออกเผยแพร่พระศาสนา มิใช่แจกของหาเงินหลอกชาวบ้าน ท่านมิได้มีจุดมุ่งหมายเช่นนั้น แต่คนก็แกะเขี้ยวเสือเตรียมไว้แล้ว และนำไปถวายให้ท่านบรรจุวิทยาคม ท่านก็อนุเคราะห์ให้ และไม่อยู่นาน เปิดโอกาสให้สดับธรรมและปฏิบัติทานมัยตามศรัทธาปสาทะ ก่อนออกเดินทาง หลวงปู่ต้องประชุมอบรมทุกคราวและแบ่งสายไปตามทิศทางต่างๆ กัน ต่อเมื่อท่านโบกมือให้สัญญาณจึงจะออกเดินทางได้ และท่านต้องใช้วิจารณญาณพระลูกแถวเป็นรายองค์ด้วยความรอบคอบ

คราวหนึ่งท่านเรียกพระภิกษุลูกแถว ชื่อพระผิว บอกวำ คุณรีบเก็บกลดและอัฐบริขารเตรียมตัวกลับวัดได้แล้ว ไม่ต้องเดินทางต่อ การเดินทางไปกับหลวงพ่อทุรกันดารลำบากยิ่งนัก ไว้ให้ผู้ที่แข็งแรงเขาไปเถิด ทำเอาพระผิวต้องหลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์โทมนัสเสียใจ แต่มิกล้าคัดค้านคำสั่งหลวงปู่ ปรากฏว่าพอกลับถึงวัดได้เพียง ๒ วันก็มรณภาพด้วยไข้ทรพิษ แสดงว่าหลวงปู่ทราบด้วยอนาคตังสญาณ พิจารณาทราบว่าพระผิวหมดอายุขัยเสียแล้ว แต่ไม่พูดให้เสียใจเท่านั้นเอง ทั้งมิให้เป็นภารกิจอันยุ่งยากแก่การปฏิบัติรุกขมูลจนเกินเหดุ

ทุกคราวในการออกรุกขมูล หลวงปู่เป็นต้องสั่งสานุศิษย์เดินทางล่วงหน้าไปก่อนทุกคราว และล่วงหน้าไปก่อนนานๆ  และทุกครั้งจะปรากฏว่าหลวงปู่ไปปักกลดคอยที่จุดนัดพบ นอนเอ้เตชดน้ำชาด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม ยังความฉงนสนเท่ห์แก่บรรดาสานุศิษย์อย่างยิ่ง

หลวงปู่ปานผจญปีศาจไพร

หัวหน้าคุมขบวนกองทัพธรรม จัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ได้แก่พระอาจารย์ อาวุโส เช่น พระอาจารย์ทุ้ย หลวงปู่เรือน พระอาจารย์หลิม หลวงพ่อนก แม่ทัพชอบไปเดี่ยวทุกครั้ง บางครั้งไปเจอฝูงควายครัว ยืนเบิ่งชำเลืองค้อนทัาทายอยู่ฝูงใหญ่ตามลักษณะแห่งทรพี หัวหน้าคุมขบวนและคุ้มกันต้องถือเป็นหน้าที่ ใช้กระแสพลังจิตบังคับหรือขอทางให้มันหนีไป ถ้าเจอฝูงช้างป่า เสือ หมี ก็จะต้องไม่ให้มีอันตรายเกิดขึ้น ซึ่งแต่ละท่านนั้นไม่เบาเลย

วันหนึ่งหลวงปู่ปานบินเดี่ยวเข้าในดงพญาเย็น ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดทมึน ได้เหลือบแลไปเห็นสิ่งประหลาดคล้ายตุ่มขนาดใหญ่เท่าควายสีดำ กลิ้งหลุนๆ  เข้ามาทำท่าจะชนท่าน หลวงปู่จึงภาวนาพระคาถาประจุขาดเป่าไป สิ่งประหลาดหายวับไปกับตา ผู้รับการถ่ายทอดเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า หลวงปู่บริกรรมว่า พุทธังปัจจะขามิ  ธรรมมังปัจจะขามิ สังฆังปัจจะขามิ คิหิทาเรถะ (อย่าเอาไปคัดพระเครื่องนะคร้บออก สะบั้นหมด ขออย่าทำร้ายกัน)

หลวงปู่ปานเผชิญยอดคน

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ปานได้จาริกรุกขมูลไปถึงอำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ถึงวัดโพธิศรี เห็นหลวงตารูปหนึ่งกำลังนั่งขึงกลองเพลอยู่ ไม่มีใครช่วย ด้วยปฏิปทาอันดีงาม หลวงปู่ปานมิได้รอช้า ตรงเข้าช่วยเหลือทันที จนเสร็จภารกิจ ครั้นแล้วหลวงตาได้นิมนต์หลวงปู่ปานขึ้นกุฏิ ฉันน้ำร้อนน้ำชา ซึ่งสมบัติพระก็มีเพียงแค่นี้ ไม่ควรมีตู้เย็นสะสม เป๊บซึ่โคล่า เป็นการโลภเกินควร ขณะที่คุยกันอย่างออกรส หลวงตาได้ลงไปหยิบดินเหนียว มาปั้นคลึงเป็นก้อนเล็กๆ สองก้อน แล้วเขวี้ยงออกไปนอกหน้าต่างกุฏิ ปรากฏเป็นเด็กหัวจุกขี่ม้าขาว ไล่จับนกเหยี่ยวในอากาศ หลวงปู่ปานหัวเราะชอบใจและลงจากกุฏิ บอกกับบริวารว่า พบคนดีเข้าให้แล้ว พลางเปลื้องสังฆาฏิออกจากไหล่ม้วนเป็นก้อนกลมแล้วขว้างลงยังพื้นดิน กลายเป็นกระต่ายป่าฝูงใหญ่วิ่งเพ่นพ่านในลานวัด เด็กเล็กชอบใจพากันไล่จับ แต่จับไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว ได้แต่ส่งเสียงเฮๆ ต่อมาหลวงปู่ออกรุกขมูลครั้งใดอดที่จะแวะไปเยี่ยมเยียนหลวงตารูปนั้นมิได้ และในที่สุดก็ช้กชวนให้มาสร้างวัดอยู่ใกล้ๆ กัน ชื่อว่าวัดน้อย หลวงตาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส มีชื่อว่าหลวงพ่อดำ เก่งไม่แพ้หลวงปู่ปาน แต่ไม่ยอมสร้างของ บางครั้งคุยไปคุยมา หลวงปู่ปานควักผ้าเช็ดหน้าม้วนปาไปเป็นกระต่าย  หลวงตาดำควักผ้าเช็ดหน้าขว้างเป็นแมวไล่กระต่าย ไล่เท่าไรก็ไม่ทัน

หลวงปู่ปานมีอารมณ์เยือกเย็นอยู่เสมอสมกับเป็นพระ คราวหนึ่งท่านสะพายย่ามออกจากวัด พบชายชราผู้หนึ่ง นั่งยองๆ ยกมือไหว้ บอกหลวงปู่ว่าเป็นฝีร้ายขึ้นที่แขน กำลังจะไปหาหลวงปู่ช่วยปัดเป่าอยู่พอดี หลวงปู่ก็บอกว่าไม่ได้เอามีดฝ่าฝีติดย่ามมา พลางล้วงลงในย่ามได้ซองธูปอ่อนหนึ่งซอง ท่านสบัดทีเดียวแข็งตัวใช้แทนมีดได้ แล้วกรีดลงบนฝึร้าย ทำให้ฝีแตกหนองทะลัก ท่านเป่าพรวดเดียว บอกว่าหาย รุ่งขึ้นต่อมาก็หายจริงๆ

ปกติหลวงปู่ปานชอบสรงน้ำในลำคลอง ถ้ามีเด็กมาดูมากๆ ท่านจะมุดดำลง ไปในน้ำ อุ้มปลากะพงตัวใหญ่ขึ้นมาอุ้มเล่น ปลาก็ดิ้นรนไปมาสักพักท่านก็ปล่อยมันลงน้ำไป เรื่องนี้มีบ่อยครั้งและก็คงเป็นเช่นกระต่ายผ้าสบงของท่าน

ความเมตตาธรรมของหลวงปู่ปานเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นคราวหนึ่ง กล่าวคือ มีทหารเกณฑ์หลายคนหนีราชการทหารมาขออุปสมบทกับองค์ท่าน เนี่องด้วยเมตตาธรรมและ ไม่ขัดศรัทธาแก่ผู้บากหน้ามาหาที่พึ่ง หลวงปู่ได้จัดการให้ตามความประสงค์จนสำเร็จเรียบร้อย ต่อมาความได้รั่วไหล ทราบไปถึงทางการ จึงได้รายงานพฤติการณ์มาทางคณะสงฆ์ พระสาสนโสภณ เจ้าคณะมณฑล จึงนิมนต์หลวงปู่ปานไปสอบสวนความจริงและกล่าวว่า ตามระเปียบการของคณะสงฆ์ ถือว่า จริยาวัตรของพระอุปัชฌาย์นั้นจะอุปสมบทได้เฉพาะกุลบุตรที่ไม่มีพ้นธะผูกพันบุคคลซึ่งอยู่ในระหว่างโทษหลวง หลบหนีที่คุมขัง หนีราชการย่อมบวชให้ไม่ได้

หลวงปู่ปานกล่าวแก้ว่า จะเป็นผู้ใดก็ตามเมื่อเกิดศรัทธาปสาทะ ในพระบวรพุทธศาสนาแล้ว ย่อมบวชได้ มีเรื่องปรากฏในสม้ย่พุทธกาลคือ อหิงสกะมาณพ ผู้ซึ่งปลิดปลงชีวิตมนุษย์มาแล้วกว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชีวิต จนได้รับฉายานามว่าองคุลีมาล  คือผู้สวมมาลัยนิ้วมือคน นับเป็นโจรแผ่นดิน มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย พระพุทธองค์ยังทรงประทานการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาวิธี อาตมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากในหลวง ต้องนับว่าเป็นคนของหลวง กับการบวชให้กับคนของพระราชา จะนับเอาเป็นผิดได้ประการใด เจ้าคณะมณฑลได้ฟังดังนั้นก็สั่งกักบริเวณหลวงปู่ปานทันที  

ฝ่ายฝูงชนครั้นได้ทราบข่าวก็พากันแห่แหนหลั่งไหลไปเยี่ยมหลวงปู่ปานเป็นจำนวนมากและ ขอร้องเจ้าคณะมณฑลให้ปลดปล่อยหลวงปู่ ในที่สุดทนต่ออำนาจแห่งเสียงสวรรค์ไม่ได้ อีกประการหนึ่ง คำว่า หลวงปู่ปานเป็นคนของพระราชา กลัวตนเองจะมีผิดจึงตัดสินใจปล่อยหลวงปู่ปานเป็นอิสรภาพ กลับสู่วัดเดิม พร้อมกับความยินดีของปวงชน

ก่อนที่หลวงปู่ปานจะมรณภาพ ประชาชนตำบลคลองด่านได้มีจิตศรัทธาร่วมแรง ร่วมใจกันหล่อรูปเหมือนขนาดเท่าตัวจริงขององค์ท่านเพื่อไว้เป็นที่สักการะบูชาในคุณงามความดี ครั้นท่านกลับจากธุดงค์พบเห็นเข้า ก็แสดงอาการไม่พอใจและกล่าวขึ้นว่า นั่นมันมิใช่รูปของอาตมา มันคือไอ้ดำใหญ่ ให้นำไปทิ้งทะเลเสีย

ฝ่ายผู้ที่หล่อขึ้นก็มีความเสียดาย เพราะหล่อขึ้นด้วยความลำบากยากเย็นจะนำไปทิ้งเสียก็ดูกระไร จึงพากันเฉยเสีย หลวงปู่ก็เลยออกจากวัดบนไปพำนักอยู่ที่พระปฐม (พระปฐมนั้นก็คือสถานที่แห่งหนึ่งใน ตำบลคลองด่าน สร้างขึ้นไว้เป็นที่พักแรมของพระธุดงค์เป็นการขั่วคราว) ท่านได้ทราบโดยวิถีญาณแล้วว่า ปวงชนต้องการให้ท่านแยกกายทิพย์ มัจจุราชได้กรายมาเตือนแล้ว จักอยู่ต่อไปอีกไม่นาน เมื่อญาติโยมพากันมาอ้อนวอนหนักเข้า ท่านก็พูดบ่ายเบี่ยงว่า เข้าไปไม่ได้ ไอ้ดำมันอยู่ ขืนเข้าไปไอ้ดำมันเอาตาย คำว่า "ไอ้ดำ" หมายถึงรูปหล่อแทนตัวท่านเอง ท่านถือว่ายังไม่ตาย เหตุไฉนจักต้องมีตัวแทน และจะอยู่ได้เพียงผู้เดียว หนึ่งไม่มีสอง ในที่สุดท่านกลับไปอยู่วัด ไม่นานก็ได้มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ

เสือหลวงปู่ปาน

เมื่อเล่าประวัติของหลวงปู่ปานแลัวไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเสือของท่าน รู้สึกว่าจะไม่เป็นการสมบูรณ์เท่าที่ควร ขึ้นชื่อว่าเขี้ยวเสือแกะแลัว เห็นจะไม่มีของพระคณาจารย์องค์ใดดีเด่น เสมอด้วยเขี้ยวเสือของหลวงปู่ปาน เล่ากันว่า เฉพาะที่ตำบลคลองด่านเองมีลูกศิษย์ซึ่งใช้ฝีมือแกะเขี้ยวเสือของหลวงปู่ถึง ๕ คนด้วยกัน แต่ละคนฝีมือแตกต่างกัน เขี้ยวเสือที่แกะมีขนาดไม่สู้ใหญ่โตนัก ส่วนมากปากเม้มหุบสนิท มืตั้งแต่ขนาดปลายนิ้วก้อยจนถึงขนาดโตกว่าหัวไม้ขีดไฟเล็กน้อย เรียกว่า เสือสาลิกา

เสือหลวงปู่ปานนํ้นหาได้ทรงคุณในทางมหาอำนาจและคงกระพันเสมอไปไม่ ที่เป็นเสือใจดี เหมาะสำหรับการทำมาหากินก็มื ส่วนมากทำให้สำหรับกุลสตรี

นอกจากนั้นบรรดาผู้ที่เคารพนับถือในตัวหลวงปู่ตามต่างจังหวัด ก็ยังมีการแกะเขี้ยวเสือ รอโอกาสที่ท่านธุดงค์มาปักกลดหรือบางทีก็นำไปถืงวัดเพื่อให้ท่านลงให้

เสือหลวงปู่ปานทุกตัวจะไม่ปรากฏอักขระเลขยันต์ใดๆ ทั้งสิ้น ให้สังเกตที่ก้นเสือจะมีรอยวนด้วยเหล็กจาร มีลักษณะคมลึกหรือบางตัวอาจมีพิเศษที่ใต้คางเป็นตัว "อุ" แม้จะใช้ไปนานปี ก็ยังพอเห็นร่องรอยชัดเจน ปัจจุบันเขี้ยวเสือปลอมเกิดขึ้นมาก เพราะของจริงแม้เพียงจะหาดู ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะพบเห็นง่ายนัก เขี้ยวเสือปลอมจะถูกนำไปทอดด้วยน้ำมันผสมด้วยขมิ้น เพื่อจะให้แลเห็นเป็นเขี้ยวเก่า แต่ก็พิจารณาไม่ยากเพราะมีผิวกระด้างผิดกับของจริง และการวนก้นไม่ชัดเจนเหมือนของจริง เสือบางตัวถูกแช่ด้วยน้ำมันมานานปึจนออกสีน้ำตาลไหม้ กล่าวกันว่าหลวงปู่ปานท่านให้น้ำมันสำหรับเลี้ยงเสือ

นอกจากเสือของหลวงปู่ปานแล้ว หลวงปู่เรืองยังสรัางเขี้ยวเสือแกะขึ้นเหมือนกัน แต่มืลักษณะแบนกว่า และมืเลขยันต์ปรากฎตามตัวเสือ ผู้รู้บอกว่าเป็นเขี้ยวหมี เพื่อมิไห้ซ้ำแบบกับหลวงปู่ปาน ค่อมาเจ้าอาวาสรุ่นหลัง คือหลวงพ่อสาย ได้สร้างเสือแกะแบบเดียวกับหลวงปู่ปาน อายุของเสือก็ร่วม ๓๐ ปีแล้ว ใกล้จะเป็นของเก่า ขอให้พิจารณายันต์ก้นหอย จะไม่คมลึกเหมือนของหลวงปู่ปานและความเก่าของเขี้ยวเสือยังไม่เก่าพอ แต่ก็จัดว่าดูยาก เมื่อเทียบกับเขี้ยวเสือหลวงพ่อสายที่ถูกใช้และ เขี้ยวเสือหลวงปู่ปานที่ถูกเก็บ แต่อิทธิฤทธิ์นั้นยังห่างไกลกันมากไม่เหมือนองค์ครู หลวงปู่ปานเสกเขี้ยวเสือแกะของท่านด้วยพระคาถาหัวใจเสือโคร่ง พยัคโฆ พยัคฆา  ลัพพะฅิ อิฅิหัมหิมฮึม ปลุกจนมันกระโดดกินหมู เป็นอันใช้ได้ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก เคยเรียนวิชาเสกเขี้ยวเสือกับหลวงปู่ปาน ขณะที่ออกธุดงค์มีพระภิกษุที่วัดบนคลองด่าน เกิดไม่ทันหลวงปู่ปาน ประสงค์จะได้เสือกายสิทธิ์ไว้ใช้ป้องกันตัว จึงเตรียมให้ช่างแกะเขี้ยวเสือไว้ทั้งหมด ๕ ตัวด้วยกัน ติดย่ามไปด้วย พอสบโอกาสจึงขอร้องให้หลวงพ่อเหลือ ช่วยเสกให้ หลวงพ่อสั่งให้หาหัวหมูบายศรีเตรียมไว้ แล้วกระซิบว่าเวลาตีสี่ให้ลุกขึ้นมาดู ก็ปรากฏเห็นหลวงพ่อเหลือกำลังบริกรรมปลุกเสกเขี้ยวเสือทั้งห้าตัวอยู่ เสือเริ่มไหวตัว ได้ยินท่านพูดว่า เจี๊ยะ เจี๊ยะ เจี๊ยะ ทันใดนั้น โหงวโฮ้วทั้งห้าพากันพุ่งตัวเข้าใส่หัวหมูจนศีรษะจมมิด ยังความปิติยินดีแก่พระภิกษุรูปนั้นอย่างยิ่งและเจ้าของเขื้ยวเสือนั้นได้เล่าให้ผมฟังเอง

หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เคยทดลองเสกเขี้ยวเสือ ท่านให้แกะเขี้ยวเสือขึ้น ๙ ตัว มีจ่าฝูงตัวหนึ่ง ใหญ่กว่าหมู่ นำใส่ขวดโหล ปลุกเสก ปรากฏว่าตัวจ่าฝูงปีนขวดโหลออกมา และนำลูกฝูงวิ่งเข้าป่าหมด ท่านเรียกไม่กลับ เลยเลิกสร้าง เพราะไม่มีบารมีทางนี้

เมื่อหลวงปู่ปานไปธุดงค์รุกขมูล ณ ที่ใด ท่านจะพิจารณาด้วยฌานสมาบัติ หากเห็นว่าบังเกิดนิมิตในอนาคตังสญาณว่า สถานที่นั้นจะเป็นสถานที่สืบพระศาสนา ท่านจะฝังเสือไว้ตัวหนึ่งและต่อมาก็จะมีสาธุชนมาช่วยกันบูรณะเป็นวัดขึ้นเช่น วัดสองคลอง วัดปานประสิทธิ วัดสีล้ง มีชาวอิสลามผู้หนึ่งเห็นการกระทำของหลวงปู่ พอหลวงปู่ถอนกลด เดินทางจาริกแสวงบุญต่อไป ก็หาโอกาสในยามค่ำคืนลักลอบขุดเขี้ยวเลือ เพื่อที่จะได้ของดีไว้คุ้มครองป้องกันตัว ที่สุดก็ต้องทิ้งจอบวิ่งหนีแทบไม่ทัน เพราะขุดไปไม่กี่ที ปรากฏเป็นเสือโคร่งตัวมหึมา ยืนแสยะเขี้ยวคำรณ ทำท่าจะตะปบศีรษะคนขุด เลยเหมือนเป็นการประกาศไม่ให้ผู้ใดมาข้องแวะในเรื่องนี้

ในการสร้างเขื่อนชลประทานไชยานุชิต (บางแหล่งข้อมูลว่า เป็นเขื่อนกั้นน้ำเค็มมีประตูน้ำ เรียกชื่อว่า ประตูน้ำชลหารวิจิตร) ที่ตำบลคลองด่าน เพื่อกั้นน้ำทะเล เลยวัดหลวงปู่ปานไปเพียงเล็กน้อย มีประโยชน์ในการเกษตรกรรมจำนวนหลายหมื่นไร่ กั้นเท่าไรก็ไม่มีทางสำเร็จเพราะกระแสน้ำไหลแรงมาก หลวงปู่ปานใช้เขี้ยวเลือแกะของท่านขว้างลงไปประหนึ่งกุมภกัณฑ์ทดน้ำ ทำให้ต้านทานกระแสนํ้าอันเชี่ยวกรากเป็นผลลำเร็จ จึงลงมือสร้างเขื่อนได้ ในการวางศิลาฤกษ์สร้างเขื่อนนี้ ล้นเกล้าฯ สมเด็จพระปิยะมหาราชทรงเสด็จเป็นประธานพิธี หลวงปู่ปานให้เณรน้อยถือพานบรรจุเขี้ยวเสือแกะ ๕ ตัวเพื่อทูลเกล้าถวาย  เณรน้อยเกิดประหม่า หกล้มทำให้เขี้ยวเสือแกะพลัดตกลงไปในน้ำหนึ่งตัว หลวงปู่ปานใช้ให้คนไปหาเนื้อหมูมาผูกเชือกหย่อนลงในน้ำ ปรากฏว่ามีเขี้ยวเสือกัดติดแน่น สมเด็จพระปิยะมหาราชเจ้าทรงแย้มพระสรวล และเลื่อมใสในตัวหลวงปู่ปาน พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นที่ พระครูนิโรธสมาจารย์ (บางแหล่งข้อมูลว่า พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ)และชอบตรัสเรียกว่า พระครูป่า แต่ชาวบ้านและคนทั่วไปไม่มีใครนิยมเรียกท่านพระครู มีแต่เรียกหลวงพ่อหลวงปู่กันทั้งนั้น

หลวงปู่ปานลง เขี้ยวเสือและตะกรุดโทนซึ่งสร้างด้วยตะกั่วเป็นส่วนใหญ่ ส่วนพระเครื่องนั้นหลวงปู่เรือง กับหลวงปู่อิ่มเป็นผู้สร้าง หลวงปู่ปานช่วยเสก หลวงปู่อิ่มนั้นเดินทางไปถึงประเทศพม่าและมรณภาพ ปรากฏว่าร่างกายท่านไม่เน่าเปื่อย พระเครื่องของท่านเป็นพระผงผสมว่าน สูงกว่าพระที่เชียร์กันเป็นไหนๆ น้กเลงหลายคนมักปรารภว่า ใครมีพระหลวงพ่ออิ่ม แมลงวันไม่ได้ดื่มเลือด ส่วนพระปิดตาสองหน้า เนื้อผงเคล้ารัก ที่ตู่กันว่าเป็นพระหลวงปู่ปานนั้นไม่เป็นความจริง แม้พระปิดตาบางองค์ที่ตีเป็นพระหลวงปู่ปาน แม้ที่ตำบลคลองด่านเอง สืบไปสืบมา บางทีก็เป็นพระที่สานุศิษย์ท่านสร้างขึ้น ไม่มีการยืนยันแน่นอน


เปิดต่ำกว่าทุนได้เท่าไหร่เท่านั้น เน้นโอนไวครับ สภาพแบบนี้หายากแล้วครับผม ไม่เคาะเล่นนะครับ ขอบคุณครับ

ตัวจริงแบบนี้หายากมากๆครับผม นานๆจะพบเจอสักทีในราคาที่พี่ๆกำหนดได้ครับผม เช่าหาสบายใจไม้ต้องนั่งลุ้นครับ

ขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านครับที่เมตตา



เหลือเวลา
รายการปิดแล้ว!

วันที่เริ่ม September 08, 2019 13:44:05
วันที่ปิดประมูล September 09, 2019 14:26:43
ราคาเปิด280
เพิ่มครั้งละ20
ธนาคารธนาคารไทยพาณิชย์ (บิ๊กซี หทัยราษฎร์) ,

final246

ผู้เสนอราคาล่าสุด

10020

ราคาล่าสุด


ความคิดเห็นจากผู้ซื้อ


+1 Auto Feedback


final246October 09, 2019 14:28:00

ความคิดเห็นจากผู้ขาย


การันตีให้อีก 1 เสียงครับผม ยอดเยี่ยมมากๆครับ รวดเร็วทันใจ ขอบพระคุณมากๆครับผมที่เมตตาและสนับสนุนครับ


เหน่งบางคู้13September 13, 2019 15:41:13

รายละเอียดเพิ่มเติม

ความเห็นจากเพื่อนสมาชิก

ประวัติการประมูล

ประวัติการเสนอราคา

ชื่อสมาชิก/วันที่เสนอราคา เสนอ

ประวัติการเสนอราคา

เหลือเวลา
รายการปิดแล้ว!


ต้องการเข้าร่วมประมูล !

ท่านต้องเป็นสมาชิกที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น